Category สุขภาพ

การสนับสนุนของชุมชนในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

การได้รับการสนับสนุนจากชุมชนเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญที่ช่วยผลักดันให้การเลี้ยงลูกด้วยนม แม่ประสบผลสำเร็จเช่นเดียวกัน การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะประสบผลสำเร็จหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับ วัฒนธรรมรวมทั้งทัศนคติของคนในชุมชน เช่น เพื่อนฝูง เพื่อนบ้าน ผู้นำชุมชน ฯลฯ ชุมชนใดก็ตามที่คิดว่าเป็นเรื่องปกติที่แม่ควรเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

 

การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ หรือถ้าแม่อาศัยอยู่ในชุมชนที่มีวัฒนธรรมการ เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน

แม่ก็จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวและไม่ให้อาหารอื่นแก่ลูก ก่อนอายุ 6 เดือน บางชุมชนมีความคิดว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นเรื่องของความยุ่งยาก น่าอาย แม่ มักจะไม่ประสบผลสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไร ให้ประชาชนใน ชุมชนเห็นความสำคัญและเข้าใจถึงคุณค่าของนมแม่ ซึ่งจะส่งผลให้มีการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่าง ต่อเนื่อง

ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการกระตุ้นให้ประชาชนในชุมชนเห็นคุณค่าของนมแม่มากขึ้น พยาบาลซึ่งเป็นหนึ่งในทีมสุขภาพมีส่วนช่วยให้ชุมชนตระหนักถึงความสำคัญของการเลี้ยงลูกด้วยนม แม่โดยร่วมมือกับชุมชนในการค้นหาว่าทัศนคติและการปฏิบัติในชุมชนในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็น อย่างไร เพื่อจะได้หาแนวทางหรือกิจกรรมต่าง ๆ

ที่จะช่วยเสริมสร้างวัฒนธรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ รวมถึงการให้ความรู้และทักษะที่จำเป็นและเหมาะสมกับวิถีชีวิตในแต่ละชุมชน ไม่ว่าจะอยู่ในเขต เมืองหรือในชนบท อย่างไรก็ตามชุมชนควรได้รับการสนับสนุน ร่วมมือกันโดยเชื่อมโยงเครือข่ายทาง สังคมกับระบบสุขภาพเพื่อให้การสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง อย่างมี ประสิทธิภาพ และยั่งยืน

จากการศึกษาและรายงานการวิจัยพบว่าปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้แม่ไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อย่างต่อเนื่องได้นานที่สุดนั้น

อาจเนื่องมาจากการไม่ได้รับการช่วยเหลือที่ถูกต้อง เมื่อแม่มีปัญหาใน การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่บ้าน เช่นแม่ที่ยังไม่มั่นใจในการเลี้ยงลูกด้วยนมตนเองได้ถูกต้อง มีความเข้าใจ ว่าลูกร้องหิวเพราะนมแม่น้อย หรือนมไม่พอจึงให้นมผสม หรืออาหารอื่นเพิ่ม แม่นมคัดทำให้หยุดให้ นม เป็นต้น ซึ่งถ้ามีผู้ให้การช่วยเหลือได้ทันที จะทำให้แม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ต่อเนื่องต่อไปได้ ดังนั้นการจัดตั้งกลุ่มสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในชุมชน เช่น กลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน (peer support) กลุ่มสนับสนุนนมแม่ (breastfeeding support group) มีความสำคัญที่จะช่วยสนับสนุน ช่วยเหลือในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

อาสาสมัครสาธารณสุข (อสส) เป็นบุคคลสำคัญในชุมชนที่จะให้การสนับสนุนช่วยเหลือ มารดาและทารกในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้อาสาสมัครสาธารณสุขจำเป็นต้องได้รับการ ฝึกอบรมที่เพียงพอทั้งความรู้และทักษะที่จำเป็นเช่นประโยชน์ของนมแม่ อาหารสำหรับเด็ก ท่าให้นม ลูก อย่างไรก็ตามอาสาสมัครสาธารณสุขอาจมีเวลาไม่เพียงพอในการให้ความช่วยเหลือแม่ที่มีปัญหา

การให้นมลูก ดังนั้น เพื่อน (peer) หมายถึงผู้ที่มีคุณลักษณะคล้ายคลึงกับบุคคลที่ต้องการความ ช่วยเหลือ ในที่นี้หมายถึงผู้หญิงที่เคยมีบุตรมาก่อนหรือเคยมีประสบการณ์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มาก่อน สามารถเป็นผู้ให้คำปรึกษาที่ดี (per counselor) โดยที่ผู้ให้คําปรึกษาควรได้รับการอบรมจาก บุคคลากรสุขภาพให้มีความพร้อมทั้งความรู้และทักษะจำเป็นที่ถูกต้องเพื่อที่จะสนับสนุนช่วยเหลือ ให้คำปรึกษาแก่มารดาโดยทำงานควบคู่กับอาสาสมัครสาธารณสุข นอกจากนี้ยังมีกลุ่มสนับสนุนนม แม่ (breastfeeding support group) หรือกลุ่มแม่ช่วยแม่ (mother-to-mother support group)

เป็นกลุ่มที่มี ความสำคัญในการช่วยเหลือสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดยมีเป้าหมายคือการส่งเสริมและ สนับสนุนให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อาจเป็นการให้คําปรึกษารายบุคคลหรือรายกลุ่ม โดยที่ผู้ให้การ สนับสนุนควรได้รับการฝึกอบรม จากบุคลากรสุขภาพอย่างต่อเนื่อง และต้องมีคุณสมบัติที่ดีคือเป็นผู้ ที่พยายามเข้าใจในปัญหา เรียนรู้แม่ รับฟังปัญหาของแม่อย่างเข้าใจ สร้างความมั่นใจให้แม่ และให้การ สนับสนุนแม่จึงจะช่วยให้แม่สามารถตัดสินใจเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ด้วยตนเอง

ในประเทศไทยได้มีการดำเนินการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของชุมชน ได้แก่กลุ่ม สนับสนุนนมแม่ โดยที่ผู้หญิงที่จะให้การสนับสนุนนมแม่ได้รับการอบรมเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนม แม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพูดคุยให้กำลังใจ หรือช่วยกันแก้ไขปัญหา เพราะแม่ส่วนใหญ่ต้องการ กำลังใจและการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

หน้าที่ของผู้สนับสนุนนมแม่ในชุมชนทำโดยมีผู้นำกลุ่มที่มีความรู้และทักษะในการดำเนินการกลุ่ม ให้ความรู้เรื่องประโยชน์และวิธีการเลี้ยงลูกด้วยนม แม่ให้กับหญิงมีครรภ์ได้เตรียมตัวสำหรับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเหมาะสม เมื่อมีปัญหาต้อง ช่วยเหลือ สามารถช่วยเหลือให้ตัดสินใจแก้ปัญหาได้ถูกต้อง มีการติดตามเยี่ยมบ้าน

โดยสมาชิกกลุ่ม สนับสนุนนมแม่ที่มีความรู้และทักษะในการช่วยเหลือ มีการทำงานเชื่อมโยงกับระบบการส่งต่อจาก โรงพยาบาลไปยังสถานบริการที่รับผิดชอบในพื้นที่ เพื่อให้แม่ได้รับการดูแล โดยการติดตามเยี่ยม บ้านซึ่งจะมีประสิทธิภาพในการช่วยเหลือแม่เพื่อให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างต่อเนื่อง

กลุ่มแม่บ้านหรือกลุ่มอาสาสมัครนมแม่เป็นกลุ่มที่สำคัญเช่นกัน ในการสนับสนุนการเลี้ยงลูก ด้วยนมแม่ โดยการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เยี่ยมหญิงมีครรภ์ และแม่หลังคลอดในบ้านใกล้เคียงเพื่อ กระตุ้นให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ช่วยสอนวิธีการปฏิบัติ และการแก้ปัญหาในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และ การดูแลสุขภาพเด็ก ช่วยแนะนำแม่ถึงวิธีการที่จะให้นมลูกในที่สาธารณะ นอกจากนี้การจัดตั้ง “ชมรม นมแม่” เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการสนับสนุนจากชุมชน ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วย นมแม่ของชุมชน โดยใช้กระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน

ช่วยกันแก้ปัญหา และพัฒนา กระบวนการจิตอาสา โดยสมาชิกในชมรมนมแม่เข้าไปในพื้นที่ ใช้หลักของการทำงานร่วมกันเป็นทีม ตั้งแต่ผู้นำชุมชน กับองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นทั้งในระดับตำบลและอำเภอ และภาคีที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ทั้งหมด เพื่อพบปะพูดคุยสร้างความเข้าใจกัน นอกจากนี้ ยังมีการแบ่งระบบงานที่ดีโดยการ กระจายงานให้อาสาสมัครของชมรมนมแม่เท่าๆ กัน มีการแบ่งการทำงาน โดยกำหนดพื้นที่ออกเป็น โซนๆ ในการดูแล เพื่อที่จะสามารถแก้ปัญหาได้เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นจริง

และมีระบบของการเรียนรู้ ร่วมกัน เช่น การเยี่ยมแม่ที่ตั้งครรภ์และหลังคลอดร่วมกันเป็นทีม ถ้าแม่มีปัญหา เช่น เต้านมคัด น้ำนม ไม่ไหล จะให้คำแนะนำและช่วยกันแก้ปัญหา ถ้าแก้ปัญหาไม่ได้ก็ส่งต่อไปยังคลินิกนมแม่หรือสถานี อนามัยใกล้บ้านเพื่อให้ความช่วยเหลือต่อไป สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นองค์ประกอบของความสำเร็จใน การส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของชุมชน

 

สนับสนุนโดย    หูตึงรักษาหายไหม

ใส่ใจปัญหาทานยากของผู้สูงอายุ จัดการเช่นไรให้ตรงจุด

ใส่ใจปัญหาทานยากของผู้สูงอายุ เนื่องจากในปัจจุบันนั้นประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงผู้สูงอายุมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นแทบจะทุกบ้านนั้นจะต้องเจอกับปัญหาการเบื่ออาหารในผู้สูงอายุซึ่งก็เป็นเรื่องปกติท่ะเกิดอาการเช่นนี้ เพราะเนื่องด้วยระบบต่างๆในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงและรับอาหารที่ไม่ตรงต่อความต้องการของร่างกายอีกทั้งยังพบเจอปัญหาเรื่องโภชนาการของผู้สูงอายุที่เป็นโรคประจำตัวต่างๆที่ต้องทานอาหารที่แตกต่างออกไป ฟังดูอาจจะดูยุ่งยากแต่จริงๆแล้วไม่เลย มาลองดูกันดีกว่าว่าจะรับมือได้อย่างไรบ้าง

1.ตรวจเช็คสุขภาพช่องปาก

ผู้สูงอายุเป็นช่วงวัยที่ร่างกายกำลังถดถอยหลายๆอย่างในร่างกายเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา อีกหนึ่งสิ่งนั้นก็คือฟันนั่นเอง เมื่อไม่มีฟันการทานอาหารนั้นก็ยากมากขึ้นไม่สามารถทานของที่เหมือนกับคนช่วงวัยอื่นๆทานกันได้ตามปกติ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรจะเตรียมให้สำหรับผู้สูงอายุทานคือ อาหารที่นิ่มหรืออ่อนเหมาะแก่การเคี้ยวที่ไม่หนักจนเกินไปนอกจากจะทำให้เคี้ยวยากแล้วยังทำให้ย่อยยากอีกเช่นกัน หรือจะใช้อีกหนึ่งวิธีนั่นก็คือการทำฟันปลอมเพื่อความสะดวกสบายในการเคี้ยวอาหารให้ดีมากขึ้นนั่นก็เป็นผลดีต่อตัวผู้สูงอายุเช่นกัน นอกจากนี้หมั่นพากันไปตรวจสุภาพช่องปากทุกๆ 6 เดือน เพื่อสุขภาพช่องปากที่ดี

2.ปัญหาในการย่อยยากในผู้สูงอายุ

เนื่องด้วยในผู้สูงอายุน้ำย่อยและขนาดของลำไส้เล็กที่หดลงจึงทำให้ระบบย่อยอาหารนั้นทำงานได้ไม่เต็มที่  จึงทำให้เกิดปัญหาท้องอืดท้องเฟ้อได้ ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เกดิอาการไม่อยากทานอาหารขึ้นมาได้เช่นกัน ทางออกที่ควรทำก็คือการเลือกอาหารที่เหมาะกับระบบย่อยอาหารให้แก่ผู้สูงอายุ เช่น อาหารที่อ่อนนุ่ม รสชาติไม่จัดจ้านจนเกินไป หลีกเลี่ยงอาหารที่ย่อยยาก หาสิ่งทดแทนเพื่อให้ได้รับสารอาหารให้ครบ 5หมู่ ไม่ว่าจะอาหารเสริม หรือวิตามินต่างๆก็ตาม ทั้งนี้ทั้งนั้นการทานอาหารแบบแบ่งมื้อออกเป็นหลายๆมื้อมื้อละนิดละหน่อยก็ช่วยได้เช่นกัน ทานอาหารหารที่ปรุงสุกใหม่ร้อนๆก็สามารถช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารได้ดีมากขึ้นด้วย

3.ร่วมรับประทานอาหารกับผู้สูงอายุไม่ปล่อยให้ท่านนั่งทานคนเดียว

นี่ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เกิดอาการที่เบื่ออาหารก็เป็นได้ สำหรับใครที่ปล่อยให้เหล่าผู้สูงอายุนั้นต้องนั่งทานอาหารแต่เพียงคนเดียว เพราะด้วยช่วงวัยที่ต้องการความดูแลและการเอาใจใส่ ด้วยอารมณ์ที่อ่อนไหวกว่าช่วงวัยอื่นๆการถูกทอดทิ้งให้อยู่แต่เพียงลำพังนั่นก็อาจทำให้เกิดอาการไม่อยากทานอาหารได้ ทางเลือกที่  เครื่องช่วยฟังที่เสียงรบกวนน้อยที่สุด    ดีที่สุดเลยคือการหาเวลามานั่งทานอาหารให้พร้อมหน้าพร้อมตาในหนึ่งวันก็ควรจะมีสักหนึ่งมื้อที่อยู่กันครบ เพื่อกระตุ้นความอยากอาหารในผู้สูงอายุ เมื่อมีความสุขใจแล้วอะไรๆก็ดีตามไปด้วยเช่นกัน

ความสำคัญของสุขภาพ

เคล็ดลับสำหรับการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพที่ดีนั้น ไม่เพียงแต่จะต้องควบคุมในเรื่องของอาหารการกินเท่านั้น แต่ยังมีสิ่งที่สำคัญในส่วนอื่นๆ ที่จะสามารถช่วยทำให้สุขภาพนั้นดีขึ้นได้ เรียงความเกี่ยวกับความสำคัญของสุขภาพ สุขภาพหมายถึงสถานะของความสมบูรณ์ทางร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์

นอกจากนี้ยังอาจกำหนดเป็นความสามารถในการปรับความท้าทายทางร่างกาย จิตใจ และสังคมตลอดชีวิตของเรา เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ดีเพราะไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบเพียงสุขภาพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความแข็งแรงของร่างกาย สุขภาพ จิตใจด้วยนั่นเอง

ความสำคัญของสุขภาพ เนื่องจาก Health and Wellness เป็นหัวข้อที่กว้างมากและเราไม่สามารถสรุปทุกอย่างในบทความเดียวได้ ดังนั้นเราจึงพยายามให้แนวคิดเกี่ยวกับความสำคัญของสุขภาพในชีวิตประจำวันของเราในฐานะมุมมองของนักเรียน  การรักษาสุขภาพที่ดีเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง เนื่องจากทำให้เรารู้สึกถึงความผาสุกทางร่างกาย จิตใจ และสังคมที่สมบูรณ์ การใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดีสามารถป้องกันโรคในระยะยาวได้ เช่น โรคหอบหืด โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และอื่นๆ อีกมากมาย

ทำให้เราปลอดจากโรคต่างๆ เกือบทั้งหมด จำเป็นอย่างยิ่งที่เราทุกคนจะต้องรักษาวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดีเพื่อที่จะมีความฟิตและไม่กลัวโรค เราต้องกินอาหารเพื่อสุขภาพและออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ การมีสุขภาพดีนำความสุขมาสู่ชีวิตเราและช่วยให้เรามีชีวิตที่ปราศจากความเครียดและปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ

ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก  เครื่องช่วยฟังขนาดเล็ก    สุขภาพที่ดีขึ้นเป็นสาเหตุของความสุขและความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของโลกเนื่องจากประชากรที่มีสุขภาพดีมีประสิทธิผลมากขึ้นและมีอายุยืนยาวขึ้น มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อสถานะสุขภาพของบุคคล บางส่วนของพวกเขา การออกกำลังกายเป็นประจำและการรับประทานอาหารที่สมดุลเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ร่างกายแข็งแรงและแข็งแรง ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจวายและโรคเบาหวานประเภท 2 นอกจากนี้การมีกระดูกและกล้ามเนื้อที่แข็งแรง การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่จำเป็น

เราต้องรักษาน้ำหนักให้แข็งแรงเพื่อให้พอดี การทำเช่นนี้ทำให้เราสามารถลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ และโรคโลหิตจางได้ นอกจากนี้ยังช่วยเราในการควบคุมโรคเบาหวานที่ไม่พึ่งอินซูลิน และเพิ่มระดับพลังงานควบคู่ไปกับการปรับระบบภูมิคุ้มกันของเราให้เหมาะสม

เราต้องนอนหลับให้เพียงพอเพื่อให้มีสุขภาพแข็งแรง พวกเราส่วนใหญ่ต้องการการนอนหลับอย่างเพียงพอทุกวัน 7-8 ชั่วโมงเพื่อให้สุขภาพและจิตใจของเราแข็งแรง มีผลอย่างมากต่อความสามารถในการคิดและการทำงานในชีวิตของเรา การนอนหลับอย่างมีคุณภาพเพียงพอในเวลาที่เหมาะสมจะช่วยให้เราปกป้องสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเราได้รวมถึงสามารถควบคุมความสวยความงามบนใบหน้าได้ดด้วย

การดูแลความสวยความงาม

สงสัยว่าฉันจะทำอย่างไรกับหยิกและเหน็บของฉันเองฉันได้ขอคำปรึกษา ขอบคุณภาพคอมพิวเตอร์ ฉันสามารถดูตัวอย่างได้ ผู้ช่วยใช้กล้องโพลารอยด์มุมมองด้านหน้าและด้านข้างของฉันแล้วสแกนลงในคอมพิวเตอร์ เมื่อฉันดู ใบหน้าของฉันก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอแล้วเปลี่ยนรูปร่างเมื่อ Baxt ปรับแต่งภาพ ความนุ่มนวลใต้คางจะหดกลับแน่นขึ้น

การดูแลความสวยความงาม รอยคล้ำใต้ตาของฉันหายไป ริ้วรอยตื้นขึ้น ฉันดูอ่อนกว่าวัย ไม่ใช่หน้ากากที่แข็ง แข็ง และดึงแน่นที่ตะโกนว่า “ยกหน้า!” ยกกระชับใบหน้า!”

แต่ดูอ่อนกว่าวัยกว่าอันดับแรก ฉันทำเปลือกตาบนของคุณ” Baxt อธิบายพร้อมชี้ไปที่หน้าจอ “ฉันเอาเนื้อเยื่อไขมันออกเล็กน้อย ฉันยังเอากระเป๋าไขมันบางส่วนที่เปลือกตาล่างออก จากนั้นเลเซอร์ผิวหนังให้เรียบและตึง ต่อไปฉันดูดไขมันที่ปึกของไขมันใต้คางแล้วดึงคางไปข้างหน้าด้วย รากฟันเทียม คุณมี 2 อย่างที่เหมาะกับคุณ: ผิวดีและใบหน้าเต็ม คุณอายุมากขึ้นถ้าคุณมีใบหน้าเต็ม คุณไม่จำเป็นต้องยกและดึง ณ จุดนี้ บางทีในสิบปี”

ประมาณเก้าหรือหมื่นเหรียญ แน่นอนว่าประกันของฉันจะไม่จ่ายบิลนี้ มันหมดกระเป๋าอย่างเคร่งครัด ไม่มีปัญหา. Baxt เสนอแผนการผ่อนชำระ กลับบ้านฉันจ้องมองตัวเองในกระจก ฉันมักจะเยาะเย้ยการทำศัลยกรรมพลาสติก จากนั้น 50 ก็เข้ามาดู ตอนนี้ฉันอดทนมากขึ้น เราอายุยืนยาวขึ้น เรามีสุขภาพที่ดีขึ้น ปัจจุบันอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 76 ปี ห้าสิบปีที่แล้วอายุ 68 ปี หนึ่งร้อยปีที่แล้วอายุ 48 ปี ใบหน้าในกระจกไม่ได้สะท้อนว่าเรารู้สึกแก่หรือเด็กเสมอไป ด้านที่น่าเศร้าและบางครั้งก็น่าเกลียดของความงาม: ในการสำรวจนิตยสารปี 1997

ผู้หญิง 15 เปอร์เซ็นต์และผู้ชาย 11 เปอร์เซ็นต์ที่สุ่มตัวอย่างกล่าวว่าพวกเขาจะเสียสละชีวิตมากกว่าห้าปีเพื่อให้มีน้ำหนักในอุดมคติ คนอื่นก็เตรียมที่จะทำการสังเวยอื่น ๆ หญิงชราคนหนึ่งในแมริแลนด์อายุ 25 ปีกล่าวว่า “ฉันรักเด็กและอยากมีลูกอีก แต่ถ้าไม่ต้องเพิ่มน้ำหนัก”

ชีวิตไม่คุ้มที่จะมีชีวิตอยู่เว้นแต่คุณจะผอมหรือไม่ Catherine Steiner Adair นักจิตวิทยาจาก Harvard Eating Disorders Center ในบอสตันกล่าวว่า “เด็กผู้หญิงกำลังชั่งน้ำหนักความภาคภูมิใจในตนเองของพวกเขาอย่างแท้จริง “เราอยู่ในวัฒนธรรมที่บ้าบอสิ้นดี เราหมกมุ่นอยู่กับความผอมเพรียวแต่ก็มุ่งไปสู่โรคอ้วน จากการศึกษาหนึ่งพบว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงไม่พอใจกับร่างกายของพวกเขา ลองนึกถึงวิธีที่เราพูดถึงอาหาร: มาเถอะวันนี้จะแย่แล้วไปกินของหวานกันหรือ: ฉันสบายดี ฉันไม่ได้กินอาหารกลางวัน‘ “ในอาการที่ร้ายแรงที่สุด

อาการหนึ่ง ความไม่พอใจต่อร่างกายอาจจบลงด้วยความผิดปกติของการกิน เช่น อาการเบื่ออาหาร กลุ่มอาการขาดอาหารในตัวเอง หรือบูลิเมีย ซึ่งเป็นวงจรการดื่มสุราและขับปัสสาวะซึ่งผู้คนกินแล้วอาเจียนหรือใช้ยาระบาย . ทั้งสองอาจถึงแก่ชีวิตได้

ทุกวันนี้ ความผิดปกติของการกิน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยจำกัดเฉพาะวัฒนธรรมตะวันตกที่มั่งคั่ง เกิดขึ้นทั่วโลก ดร.แอนน์ เบกเกอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของศูนย์ฮาร์วาร์ดกล่าวว่า “ฉันอยู่ในฟิจิในปีที่เปิดตัวโทรทัศน์ “ความผิดปกติในการกินแทบไม่เป็นที่รู้จักในฟิจิในขณะนั้น” เมื่อเธอกลับมาในอีกสามปีต่อมา เด็กผู้หญิง 15 เปอร์เซ็นต์ที่เธอเรียนอยู่พยายามอาเจียนเพื่อลดน้ำหนัก ในญี่ปุ่นอาการเบื่ออาหารได้รับการบันทึกครั้งแรกในทศวรรษที่ 1960 ปัจจุบันส่งผลกระทบต่อผู้หญิงญี่ปุ่นประมาณหนึ่งในร้อยคน และได้แพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ

ของเอเชีย รวมทั้งเกาหลี สิงคโปร์ และฮ่องกง ในสหรัฐอเมริกา ตามข้อมูลของ Menninger Clinic ในเมืองโทพีกา รัฐแคนซัส สัดส่วนของผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจากโรคการกินผิดปกติอยู่ที่ประมาณ 5 ถึง 10 เปอร์เซ็นต์

การกล่าวว่าผู้หญิงทุกคนที่มีปัญหาเรื่องการกินต้องการดูเหมือนนางแบบบนรันเวย์ คือการกลบเกลื่อนภาพที่ซับซ้อนที่ผสานชีววิทยาและพลวัตของครอบครัวด้วยอิทธิพลทางวัฒนธรรม สิ่งหนึ่งที่สามารถพูดได้: ความผิดปกติของการกินเป็นโรคของผู้หญิงเป็นหลัก Emily Kravinky ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ของ Renfrew Center ในฟิลาเดลเฟีย กล่าวว่า “เป็นเรื่องง่ายที่เราจะระบุสาเหตุได้มากเกินไป” “ผู้หญิงเหล่านี้บางคนไม่รู้ว่าจะรับมือหรือปลอบตัวเองอย่างไร พวกเขามีความนับถือตนเองต่ำ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่เพิ่มขึ้นว่าชีววิทยาและพันธุกรรมมีบทบาท ในที่สุด ระยะห่างระหว่างอุดมคติทางวัฒนธรรมของสิ่งที่เราต้องการ ดูเหมือนและความเป็นจริงของสิ่งที่เราดูเหมือนกำลังกว้างขึ้น ถ้า Marilyn Monroe เดินเข้าไปใน Weight Watchers วันนี้จะไม่มีใครสนใจเลยพวกเขาจะลงทะเบียนกับเธอ “

 

สนับสนุนโดย.  เครื่องช่วยฟังราคาเท่าไหร่

ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งคิดอย่างไรถึงโรคลำไส้อักเสบ

โรคลำไส้อักเสบ ดร. David Rubin ศาสตราจารย์ด้านการแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยชิคาโกซึ่งมีความเชี่ยวชาญทางคลินิกรวมถึงโรคลำไส้อักเสบ ได้หารือเกี่ยวกับการศึกษานี้กับเพื่อนร่วมงานสองคน ได้แก่ นักภูมิคุ้มกันวิทยาและนักจุลชีววิทยาที่เชี่ยวชาญด้านเซลล์ T gamma-delta T

“เราคิดมานานแล้วและเห็นว่าในทางปฏิบัติแล้วการติดเชื้ออาจทำให้เกิดโรคลำไส้อักเสบได้” รูบินกล่าวกับ Healthline “มีแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ซึ่งแสดงความสัมพันธ์ที่คล้ายคลึงกันระหว่างการติดเชื้อไวรัสและโรค celiac ที่ตามมา” สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ผล Rubin อธิบาย “ดังนั้นสมมติฐานที่ว่ามีความอ่อนไหวทางพันธุกรรมในปัจจัยป้องกันที่เกี่ยวข้องกับลำไส้ของเราจึงได้รับการกล่าวถึงและเป็นที่สนใจอย่างมาก” เขากล่าว

อย่างไรก็ตาม Rubin กล่าวเสริมว่า “ฉันจะระมัดระวังในการอธิบายการศึกษาเกี่ยวกับเมาส์ [ใน] ตอบคำถามเกี่ยวกับโรค Crohn ในมนุษย์ แม้จะมีงานออร์แกนอยด์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบทความที่ดีนี้” เซลล์ Paneth มีความสนใจอย่างมากในการเกิดโรคอันเป็นสาเหตุหรือผลของโรค Crohn เขากล่าว “แต่ความชุกของการขาดโปรตีนป้องกันในระดับเนื้อเยื่อหรือแม้กระทั่งการกลายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับการตายของเซลล์ที่บกพร่องยังไม่ได้รับการอธิบายอย่างครบถ้วนในโรค Crohn” Rubiin กล่าว

เขาเสริมว่า gamma delta T cells มีบทบาทสำคัญในระบบภูมิคุ้มกันของเรา แต่มีบทบาทในเลือดไม่เหมือนกันในเนื้อเยื่อลำไส้ “การเชื่อมต่อระหว่างพื้นที่เหล่านั้นกับการสังเกตของเซลล์เหล่านี้จำเป็นต้องมีการทำงานเพิ่มเติมอย่างแน่นอน” เขากล่าว “ดังนั้นฉันจึงขอแสดงความยินดีกับผู้เขียนในงานนี้อย่างแน่นอน – ตอนนี้เรามาดูโรค Crohn หลายประเภทเพื่อดูว่าเราสามารถระบุสิ่งนี้เพิ่มเติมในมนุษย์ได้หรือไม่”

สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การรักษาใหม่ได้หรือไม่ Cadwell บอกกับ Healthline ว่าเมื่อ norovirus แพร่เชื้อไปยังคนที่มีความสามารถในการผลิต API5 ที่อ่อนแอลง ก็จะทำให้เกิดความสมดุลต่อโรคภูมิต้านตนเอง เป็นไปได้ว่าโปรตีน API5 หรือสิ่งที่คล้ายกันอาจนำไปสู่การรักษาแบบใหม่สำหรับ Crohn ที่จะไม่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันเช่นเดียวกับการรักษาในปัจจุบันจำนวนมาก Cadwell เตือนว่าในขณะที่ผู้เขียนศึกษาได้รับโปรตีน API5 จากเนื้อเยื่อของมนุษย์มากกว่าสัตว์ฟันแทะ

แต่ก็ยังไม่ทราบว่าการฉีดยาสามารถทำได้อย่างปลอดภัยในมนุษย์หรือไม่ “มีหลายงานที่ต้องทำก่อนที่เราจะทดสอบสิ่งนี้ในมนุษย์” คาลด์เวลล์กล่าว “เราอยู่ห่างออกไปสองสามปีก่อนที่สิ่งนี้จะสามารถก้าวไปข้างหน้าในการทดลองทางคลินิกได้อย่างเต็มที่” เขากล่าวเสริม

การรักษาในปัจจุบันมีจำกัด Cadwell ยอมรับว่าแม้ว่าโรค Chron จะรักษาไม่หาย แต่ก็มียาบางตัวที่ได้ผลดีสำหรับบางคน “ตัวอย่างหนึ่งคือ Remicade ซึ่งใช้ในการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ด้วย” เขากล่าว “แต่การรักษาเหล่านี้ไม่ได้ผลเสมอไป หรือพวกเขาหยุดทำงาน และปัญหาอื่นคือการรักษาเหล่านี้ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง” เขากล่าวเสริม

มีการรักษาอื่นๆ ตั้งแต่ยาต้านอาการท้องร่วงและยาแก้อักเสบ ยาปฏิชีวนะ การบำบัดทางชีวภาพ อาหารและอาหารเสริม ดร. ยู มัตสึซาวะ แพทย์ระบบทางเดินอาหารและหัวหน้าทีมวิจัยกล่าวในการแถลงข่าวว่าเขาแบ่งปันความกระตือรือร้นของแคดเวลล์เกี่ยวกับการค้นพบนี้ “การค้นพบของเรานำเสนอข้อมูลเชิงลึกใหม่เกี่ยวกับบทบาทสำคัญที่ตัวยับยั้งการตายของเซลล์ apoptosis 5 เล่นในโรค Crohn” เขากล่าว “โมเลกุลนี้อาจให้เป้าหมายใหม่ในการรักษาโรคแพ้ภูมิตัวเองเรื้อรัง ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่ายากต่อการจัดการในระยะยาว”

 

สนับสนุนโดย.  เครื่องช่วยฟัง

ผลไม้ที่ดีและควรรับประทานในทุกๆวัน

ผลไม้เป็นส่วนสำคัญของอาการการกินและเป้นสิ่งที่ช่วยเติมเต็มรวมถึงการเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงได้มากขึ้นด้วยและผลไม่ที่สามารถหารับประทานได้ง่ายและมีรสชาติอร่อยแถมดีต่อสุขภาพด้วย

ผลไม้ที่ดี แอปริคอตสดหั่นแว่น 1 ถ้วยมีโปรตีนเกือบ 2.2 กรัม ในขณะที่แอปริคอตแห้ง 1 ถ้วยจะให้ธาตุอาหารหลักที่สำคัญนี้เกือบ 5 กรัม แอปริคอตยังมีแคลอรีต่ำอีกด้วย ทำให้เป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก แอปริคอตอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี แคโรทีนอยด์ โพแทสเซียม

และสังกะสี พวกเขายังมีฟลาโวนอยด์ที่ส่งเสริมสุขภาพจำนวนมากตามที่อธิบายไว้ในวารสารโมเลกุล (เปิดในแท็บใหม่) สารออกฤทธิ์เช่น catechin, quercetin และกรด chlorogenic

อาจให้เครดิตกับคุณสมบัติต้านมะเร็ง สารต้านอนุมูลอิสระ และต้านไวรัสของแอปริคอต แอปริคอตเป็นอาหารว่างที่มีคุณค่าทางโภชนาการอย่างรวดเร็ว เพิ่มลงในส่วนผสมแบบโฮมเมดหรือโยนลงในสลัดเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทั้งหมดของผลไม้ที่มีโปรตีนสูงนี้

 กีวี่ กีวีขึ้นชื่อในเรื่องรสชาติที่สดชื่นและเป็นกรดเล็กน้อย ซึ่งช่วยเพิ่มความแปลกใหม่ให้กับสมูทตี้และสลัดผลไม้ บางทีความจริงที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักก็คือผลไม้แปลกใหม่นี้มีโปรตีนสูงและสามารถให้น้ำหนักได้เกือบ 2.1 กรัมในถ้วยเดียว กีวีมีแคลอรีต่ำและมีธาตุอาหารรองสูง เช่น โพแทสเซียม วิตามินซี วิตามินอี และวิตามินเค จากการทบทวนที่ตีพิมพ์ในวารสารโภชนาการแห่งยุโรป (เปิดในแท็บใหม่) การบริโภคผลไม้ชนิดนี้เป็นประจำสามารถบรรเทาอาการได้ ของอาการท้องผูกและอาการลำไส้แปรปรวน

แบล็กเบอร์รี่ แม้ว่ารสชาติที่เป็นกรดเข้มข้นอาจไม่ถูกใจทุกคน แต่แบล็กเบอร์รี่เป็นผลเบอร์รี่ที่ดีต่อสุขภาพมากที่สุดชนิดหนึ่ง แบล็กเบอร์รี่ดิบ 1 ถ้วยมีโปรตีนเกือบ 2 กรัม ในขณะที่บรรจุใยอาหารเกือบ 8 กรัม และให้น้ำตาลน้อยกว่า 7 กรัมแบล็กเบอร์รี่ยังอุดมไปด้วยแมงกานีส แมกนีเซียม วิตามินซี และวิตามินเค คุณสามารถเพิ่มแบล็กเบอร์รี่ลงในชามมูสลี่อาหารเช้าของคุณได้อย่างง่ายดายหรือโรยลงในโยเกิร์ตธรรมดา ผลไม้ที่มีโปรตีนสูงเหล่านี้ยังดีในสมูทตี้ สลัด และของหวาน

ส้ม ส้มสดขนาดกลางหนึ่งผลมีโปรตีนประมาณ 1 กรัม ส่วนส้มคั้นสดหนึ่งถ้วยให้โปรตีนประมาณ 2 กรัม ผลไม้นี้มีแคลอรีต่ำและมีไฟเบอร์สูง วิตามินเอ วิตามินซีและแคลเซียม เนื่องจากไฟโตนิวเทรียนท์ที่มีประสิทธิภาพมากมาย ผลไม้รสเปรี้ยวจึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย การศึกษาหลายชิ้น (เปิดในแท็บใหม่) แสดงให้เห็นว่าส้ม มะนาว และผลไม้รสเปรี้ยวอื่นๆ มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบอย่างแข็งแกร่ง ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคเกี่ยวกับระบบประสาท ส้มเป็นของว่างที่ดีหรือใส่ในสลัดผักสด สมูทตี้ และของหวานที่ทำจากช็อกโกแลต คุณสามารถบีบมันลงในน้ำผลไม้ที่สดชื่น แม้ว่าวิธีนี้คุณอาจไม่ได้รับโปรตีนทั้งหมด

 

สนับสนุนโดย.    เครื่องช่วยฟังอย่างดี

48 ชั่วโมงแรก ดูแลอาการข้อเท้าพลิก

ดูแลอาการข้อเท้าพลิก ข้อเท้าพลิกเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากเอ็นถูกยืดหรือบิดมากจนเกินความจำเป็น ซึ่งบางทีอาจมีการฉีกจนขาดเกิดขึ้นได้ โดยเอ็นนั้นเป็นเยื่อลักษณะซึ่งคล้ายเส้นใยที่มีความแข็งแรง ยืดหยุ่นได้ ทำหน้าที่ช่วยดึงยึดระหว่างกระดูกท่อนหนึ่งไปยังอีกท่อนหนึ่งเพื่อปฏิบัติภารกิจเป็นเอ็นข้อต่อ

ลักษณะของข้อเท้าพลิก

– จะมีอาการปวด บวมที่บริเวณข้อท้อเป็นอย่างมาก ไม่สามารถเดินได้อย่างปกติธรรมดา

– มีรอยฟกช้ำที่ข้อเท้า

– เคลื่อนข้อเท้าได้ลดลง 

– ไม่อาจจะลงน้ำหนักเท้าข้างที่ได้รับบาดเจ็บได้

 

ลักษณะของการปวดเจ็บข้อเท้าพลิกจะทวีความร้ายแรงเยอะขึ้นเรื่อย ๆ  ครื่องช่วยฟังตัดเสียงรบกวน  ถ้าเกิดมีการขยับเขยื้อนของข้อเท้า ข้อจะเริ่มบวมขึ้นในทันทีแล้วก็จะมีความรู้สึกไวต่อการสัมผัส รอยฟกช้ำจะเกิดขึ้นที่รอบ ๆ ที่ได้รับบาดเจ็บแต่ว่าบางครั้งอาจจะจำต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงหรือเป็นวันถึงจะสามารถมองเห็นได้ และก็หากอาการข้อเท้าพลิกมีความร้ายแรงขึ้น คุณจะไม่สามารถลงน้ำหนักที่เท้าข้างนั้นได้เลย

 

การดูแลและรักษาอาการข้อเท้าพลิก

การรักษาด้วยตัวเอง

ในตอนที่อยู่ระหว่าง 48-72 ชั่วโมงแรกภายหลังจากข้อเท้าได้รับบาดเจ็บ ควรที่จะใช้หลักการที่มีชื่อย่อว่า PRICE สำหรับการรักษาซึ่งจะได้ผลลัพธ์ที่ดีลดการเจ็บที่เกิดขึ้นไม่ร้ายแรงมาก

 

P- Protect ปกป้องไม่ให้มีการเจ็บมากขึ้นในรอบ ๆ ที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว

R- Rest เคลื่อนไหวให้น้อย ลงพักข้อเท้าที่ได้รับบาดเจ็บราวสองถึงสามวันแรก โดยไม่ให้มีการขยับเขยื้อน จากนั้นแล้วก็ค่อย ๆ เคลื่อนรอบ ๆ ข้อเท้าที่ได้รับบาดเจ็บอย่างช้า ๆ ซึ่งให้ยังคงความแข็งแรงของกล้ามในรอบ ๆ ที่เจ็บไว้ได้

I- Ice ประคบเย็นหรือใช้น้ำแข็งห่อด้วยผ้าประคบรอบ ๆ ที่ได้รับบาดเจ็บเพื่อลดอาการบวมหรือรอยฟกช้ำ และคุณควรจะเลี่ยงไม่ให้น้ำแข็งสัมผัสกับผิวหนังโดยตรง เพื่อไม่ให้ผิวหนังได้รับอันตราย

C- Compress พันรอบ ๆ ที่ได้รับบาดเจ็บด้วยผ้าที่เอาไว้สำหรับพันแผล เพื่อช่วยคุ้มครองป้องกันและก็จำกัดการเคลื่อนไหวรวมทั้งลดอาการบวม โดยผ้าสำหรับพันแผลนั้น ควรจะมีความยืดหยุ่นที่สมควร ไม่รัดตึง รวมทั้งควรจะปลดผ้าพันออกก่อนเมื่อจะเข้านอน

E-Elevate ชูข้อเท้าที่ได้รับบาดเจ็บ ให้สูงขึ้นกว่าระดับการนอนเล็กน้อย หรือให้สูงกว่าระดับหัวใจ เพื่อช่วยลดอาการบวม

ถ้าหากอาการดังที่กล่าวมาข้างต้นยังไม่ดีขึ้น คุณควรจะรีบปรึกษาจากหมอหรือนักกายภาพบำบัด

และนี่คือการปฏิบัติภายในระยะแรกเมื่อได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้าหรือเท้าพลิก ซึ่งการดูแลอย่างถูกวิธีในขั้นตอนแรกสำคัญมาก เนื่องจากจะช่วยให้อาการบาดเจ็บทุเลาลง ไม่รุนแรงในอนาคต 

สร้างนิสัยเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี

ตรวจสอบความเป็นจริงผู้เชี่ยวชาญเขียนว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 21 วันในการปรับตัวและการวิจัยชี้ให้เห็นว่า  สร้างนิสัยเพื่อสุขภาพ โดยส่วนใหญ่มักใช้เวลานานกว่าค่าขั้นต่ำนั้นมาก ตัวอย่างเช่น ในการศึกษา European Journal of Social Psychology ประจำปี 2009 นักวิจัยได้มอบหมายให้คน 96 คนทำงานเพื่อสร้างนิสัยที่ดีต่อสุขภาพไม่ว่าจะเป็นการดื่มน้ำหนึ่งขวด

พร้อมอาหารกลางวันไปจนถึงการวิ่ง 15 นาทีก่อนอาหารเย็น พวกเขาพบว่าผู้เข้าร่วมใช้เวลาตั้งแต่ 18 ปี เกือบ 21 ปี ไปจนถึง 254 วันในการบ่มเพาะนิสัยที่พวกเขาเลือกใช้เวลานานแค่ไหนขึ้นอยู่กับนิสัยที่เปลี่ยนวิถีชีวิต 

อย่างไรก็ตามการวิจัย มีการสรุปว่าโดยเฉลี่ยแล้วจะใช้เวลา 66 วันในการสร้างนิสัยที่ดีต่อสุขภาพด้วยการสร้างนิสัยใหม่นั่นเอง ถ้า 66 วันแล้วไม่ต้องพูดถึงและ ดูเหมือนเป็นเวลานาน ลองคิดแบบนี้ทุกครั้งที่เราทำพฤติกรรมใหม่ วิถีทางระบบประสาทใหม่จะเริ่มก่อตัวในสมอง

ครั้งแรกที่ทีมสร้างระบบประสาทของสมองของเราเพิ่งออกมาสำรวจพื้นที่และนำอุปกรณ์ทั้งหมดออกมา คราวหน้ามันทำให้ต้นไม้ล้มไปสองสามต้น ค่อยๆ มีเส้นทางเดินป่าที่สกปรกปรากฏขึ้น แล้วทางนั้นก็จะปูทาง ในที่สุดเส้นทางนั้นก็กลายเป็นทางหลวงแปดเลน

โชคดีสำหรับทุกคนที่มีปัญหาในการทำสิ่งใดทุกวันเป็นเวลาหลายเดือนติดต่อกัน นักวิจัยยังพบว่าคุณไม่จำเป็นต้องทำพฤติกรรมทุกวันเพื่อให้กลายเป็นนิสัย วันที่พลาดที่นี่หรือไม่มีความพยายามของคุณ ถ้าวันหนึ่งคุณมีอาหารกลางวันที่ไม่ดีต่อสุขภาพหรือไม่ไปยิมก็ไม่เป็นไร ลองรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพมื้อต่อไปและไปยิมในวันพรุ่งนี้ เมื่อเราพยายามอย่างหนักในตัวเอง มันมักจะนำไปสู่ความล้มเหลว ที่กล่าวว่าบางครั้ง ไม่ควรนับจนถึงเส้นชัยที่สร้างนิสัยเลย ไม่สำคัญว่าจะเป็น 21, 66 หรือ 254 วัน

แต่ให้นับแต่ละความสำเร็จแทนตัวเลขยิ่งสูงยิ่งดี ท้ายที่สุด เมื่อคุณข้ามวันใดวันหนึ่งในปฏิทินหรือเริ่มสังเกตว่าการออกกำลังกายของคุณกลายเป็นนิสัย และทำเช่นนั้นไปเรื่อยๆ เชื่อว่าการจะมีสุขภาพที่ดีและสร้างนิสัยได้นั้นสามารถที่จะทำไ โดยที่ไม่ต้องเอาเรื่องของน้ำหนัก เวลาและความยากลำบากเข้ามาเป็นตัวตัดสิน 

สุดท้ายแล้วในการปฎิบัติสิ่งเหล่านี้ก็เพื่อสุขภาพของคุณเอง ถ้าคุณสามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ให้เป็นนิสัยในเวลาที่รวดเร็วได้ แน่นอนว่า สุขภาพที่เกิดขึ้นนั้นก็จะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็วเช่นกันและสิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตของคุณไปตลอดกาลเลยก็ว่าได้และสิ่งเหล่านี้ก็จะเป้นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงและทำให่เรานั้นเกิดความรักตัวเองและรักสุขภาพมากขึ้นเพราะมันเป็นสิ่งที่ค่อนข้างยากลำบาก อย่างไรก็ตามการสร้างนิสัยนั้นไม่เป็นเพียงการสร้าง การออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ หรือกสนดื่มน้ำมากๆเท่านั้น เพราะเมื่อถ้าคุณสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้อย่างดี สิ่งอื่นในชีวิตนั้นก็จะเป็นสิ่งที่คุณสามารถจะทำมันได้อย่างดีเช่นกัน

 

สนับสนุนโดย.    เครื่องช่วยฟังตัดเสียงรบกวน

3 ขั้นตอนสู่วิถีชีวิตเพื่อสุขภาพดีขึ้น

ขั้นตอนสู่วิถีชีวิต การรักษาโปรแกรมการออกกำลังกายหรือการบรรลุเป้าหมายการลดน้ำหนักนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มันมาพร้อมกับการทำงานหนักและมีวินัย รวมถึงการรู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน ฉันมักจะบอกผู้ป่วยของฉันที่ Methodist Physicians Clinic Regency ว่าการคำนึงถึงสิ่งสำคัญสามประการสามารถช่วยให้พวกเขามีชีวิตที่มีสุขภาพดี

การช็อปอย่างชาญฉลาดการรักษาอาหารเพื่อสุขภาพเริ่มต้นด้วยการรู้ว่าควรใส่อาหารอะไรในร่างกายเพื่อให้เป็นเชื้อเพลิงที่เหมาะสม การเดินทางไปร้านขายของชำอาจเป็นเรื่องที่น่ากลัวหากคุณไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ฉันมักจะแนะนำให้ผู้ป่วยที่พวกเขาซื้อของที่ขอบด้านนอกของร้านขายของชำ

นั่นคือสิ่งที่ส่วนใหญ่เป็นอาหารเพื่อสุขภาพและสด ผักและผลไม้ อาหารทะเล เนื้อสัตว์ ไข่ และผลิตภัณฑ์นม มักพบอยู่ตามผนังด้านนอกของร้าน

การรับประทานอาหารที่สดใหม่เหล่านี้จะช่วยให้ร่างกายมีพลังงานและพลังงานในการทำงาน อาหารที่มีไขมันและแปรรูปมากมักอยู่ตรงกลางร้านและทางเดินตรงกลาง หากคุณต้องการหลีกเลี่ยงสิ่งล่อใจ ให้หลีกเลี่ยง

การทำร่างกายได้กระฉับกระเฉงการออกกำลังกายไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเริ่มฝึกไตรกีฬา คุณเพียงแค่ต้องทำให้หัวใจเต้นแรงและเรียกเหงื่อเล็กน้อย เริ่มช้าและออกกำลังกายในระดับปานกลางประมาณ 30 ถึง 60 นาทีห้าหรือหกวันต่อสัปดาห์

แนวคิดการออกกำลังกายบางอย่างสามารถทำได้อย่างหลากวิธรไม่ว่าจะเป็นการพาหมาไปเดินเล่นหรือกับคนสำคัญ การทำกิจกรรมหรือเล่นกับลูก ๆ ของคุณที่สวนสาธารณะ การออกกำลังกายด้วยการไปปั่นจักรยานกันหรือสำหรับคนที่ไม่ชอบไปข้างนอกและต้องการความเป็นส่วนตัวก็อาจจะวิ่งบนลู่วิ่งอยู่ที่บ้านหรือยิมก็ได้และสำหรับแผนการออกกำลังกาย

โดยรวมที่ดีที่สุด ให้สลับวันออกกำลังกายแบบแอโรบิกกับการฝึกความแข็งแรง เช่น ยกเวทเพื่อให้กล้ามเนื้อนั้นทำงานและยังเป็นกระชับสัดส่วนไปด้วย แนะนำให้พูดคุยกับผู้ให้บริการดูแลหลักของคุณก่อนที่คุณจะเริ่มการออกกำลังกาย  ไม่ว่าจะกับผู้ฝึกสอนส่วนบุคคลหรือด้วยตัวคุณเอง – เพื่อให้แน่ใจว่าหัวใจของคุณแข็งแรงเพียงพอสำหรับการออกกำลังกาย

การหาเพื่อนหากต้องการประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ให้หาคนที่มีความคิดเหมือนกันซึ่งมีแรงจูงใจเหมือนกัน อาจเป็นคนสำคัญ เพื่อนหรือเพื่อนร่วมงานก็ได้ การมีคนให้ออกกำลังกายด้วย ช่วยให้คุณควบคุมอาหารได้ และแบ่งปันแรงจูงใจสามารถช่วยให้คุณติดตามได้ สำหรับแนวคิดดีๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับการรักษาวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี พูดคุยกับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของ Methodist Physicians Clinic ได้ด้วย ซึ่งทางคลินิคนั้นจะสามารถช่วยในการดูแลสุขภาพเพื่อให้เรานั้นสามารถสร้างวิถีชีวิตเพื่อสุขภาพที่ดีได้นั่นเอง

น้ำตาลเท่าไหร่ถึงจะเป็นเบาหวาน

หลายคนสงสัยว่าระดับ น้ำตาลเท่าไหร่ถึงจะเป็นเบาหวาน ถือว่าเป็นคำถามที่น่าสนใจเป็นอย่างมากก็มีหลายคนเข้ามาถามกันมากมายและวันนี้เราก็จะมาอธิบายว่าน้ำตาลสะสมในเลือดเท่าไหร่ถึงจะเป็นโรคเบาหวาน 

 

ก่อนอื่นก็ต้องบอกก่อนเลยว่าการวินิจฉัยโรคเบาหวานก็จะใช้อยู่ 2 อย่างด้วยกันคือ 1 ดูอาการ 2 คือ ดูระดับน้ำตาลในเลือด ดังนั้นการวัดน้ำตาลในกระแสเลือดในปัจจุบันเราจะมีอยู่ 2 อย่างด้วยกัน อย่างที่ 1 การวัดน้ำตาลในปัจจุบันในเลือด 2 คือวัดน้ำตาลสะสมในร่างกายหลักๆก็จะมีอยู่ 2 อย่างด้วยกัน 

โดยส่วนใหญ่คนเรามักจะคุ้นเคยกับการวัดระดับน้ำตาลในเลือดในปัจจุบันอาจจะเป็นการเจาะที่ปลายนิ้วในช่วงอดอาหาร 8 ชั่วโมงหรือว่าตอนที่ยังไม่อดอาหาร ซึ่งระดับน้ำตาลเท่าไหร่ถึงจะเป็นตัวบ่งบอกบ่งบอกว่าจะเป็นโรคเบาหวานคุณลองไปหาในอินเทอร์เน็ตอยู่ก็ได้ว่าการเจาะเลือดที่ปลายนิ้วตอนอดอาหาร 8 ชั่วโมง หรือว่าตอนไม่อดอาหาร8 ชั่วโมง ระดับเท่าไหร่ถึงจะเป็นตัวบ่งบอกว่าเป็นโรคเบาหวาน 

ซึ่งในปัจจุบันก็จะมีการวัดระดับน้ำตาลในเลือดอีกแบบหนึ่งที่เรียกว่าน้ำตาลสะสมหรือฮีโมโกลบินมันคือค่าเฉลี่ยสะสมของน้ำตาลที่เข้าไปสะสมในเม็ดเลือดแดงต้องบอกก่อนเลยว่าเม็ดเลือดแดงของเรามีอายุ 100 ถึง 120 วัน 

น้ำตาลเท่าไหร่ถึงจะเป็นเบาหวาน ดังนั้นค่าฮีโมโกลบินมันก็จะเป็นตัวบ่งบอกว่าภายใน 3-4 เดือนที่ผ่านมาน้ำตาลสะสมในเม็ดเลือดเท่าไหร่หรือพูดง่ายๆดูพฤติกรรมในคนที่เป็นเบาหวานฝันว่าผ่านมา 3-4 เดือนเราประพฤติตัวดีหรือเปล่ารับประทานของหวานหรือของที่มีน้ำตาลเยอะมากเกินไปหรือเปล่า 

เพราะฉะนั้นแล้วในส่วนนี้ก็จะเป็นข้อแตกต่างระหว่างน้ำตาลในปัจจุบัน กับน้ำตาลสะสม น้ำตาลปัจจุบันก็จะบ่งบอกได้แค่ช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาว่าผู้ป่วยเบาหวานทานของหวานหรือของที่มีน้ำตาลเยอะมากเกินไปหรือเปล่า 

ส่วนระดับน้ำตาลสะสมก็จะเป็นตัวบ่งบอกได้ว่าใน 3-4 เดือนที่ผ่านมาผู้ป่วยเบาหวานมีความประพฤติอย่างไรทานของหวานหรือน้ำตาลโดยเฉลี่ย 3 4 เดือนนี้เยอะหรือว่าน้อยเพียงใดโดยถ้าระดับน้ำตาลสะสมหรือฮีโมโกลบินมีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 6.5 เปอร์เซ็นต์ ก็จะเป็นตัวบ่งบอกได้ว่าตัวคุณนั้นอาจจะเป็นโรคเบาหวานแล้วก็ได้ 

เพราะฉะนั้นแล้วเราจะมาสรุปกันว่าน้ำตาลเท่าไหร่ถึงจะเป็นโรคเบาหวานขณะแลกน้ำตาลในปัจจุบันอดอาหาร 8 ชั่วโมง ถ้ามากกว่า 126 เป็นโรคเบาหวานถ้าเจาะน้ำตาลในปัจจุบันไม่ได้อดอาหารถ้ามีค่ามากกว่า 200 เป็นโรคเบาหวาน

ส่วนน้ำตาลสะสมหรือฮีโมโกลบินถ้าเจาะมาหรือมีค่าเท่ากับ 6.5% วินิจฉัยเลยว่าคุณนั้นเป็นโรคเบาหวานแล้วแต่ละอันมันก็จะมีค่าที่แตกต่างกันออกไปนั่นเอง

 

สนับสนุนโดย    แทงหวยใต้ดิน