ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งคิดอย่างไรถึงโรคลำไส้อักเสบ

โรคลำไส้อักเสบ ดร. David Rubin ศาสตราจารย์ด้านการแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยชิคาโกซึ่งมีความเชี่ยวชาญทางคลินิกรวมถึงโรคลำไส้อักเสบ ได้หารือเกี่ยวกับการศึกษานี้กับเพื่อนร่วมงานสองคน ได้แก่ นักภูมิคุ้มกันวิทยาและนักจุลชีววิทยาที่เชี่ยวชาญด้านเซลล์ T gamma-delta T

“เราคิดมานานแล้วและเห็นว่าในทางปฏิบัติแล้วการติดเชื้ออาจทำให้เกิดโรคลำไส้อักเสบได้” รูบินกล่าวกับ Healthline “มีแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ซึ่งแสดงความสัมพันธ์ที่คล้ายคลึงกันระหว่างการติดเชื้อไวรัสและโรค celiac ที่ตามมา” สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ผล Rubin อธิบาย “ดังนั้นสมมติฐานที่ว่ามีความอ่อนไหวทางพันธุกรรมในปัจจัยป้องกันที่เกี่ยวข้องกับลำไส้ของเราจึงได้รับการกล่าวถึงและเป็นที่สนใจอย่างมาก” เขากล่าว

อย่างไรก็ตาม Rubin กล่าวเสริมว่า “ฉันจะระมัดระวังในการอธิบายการศึกษาเกี่ยวกับเมาส์ [ใน] ตอบคำถามเกี่ยวกับโรค Crohn ในมนุษย์ แม้จะมีงานออร์แกนอยด์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบทความที่ดีนี้” เซลล์ Paneth มีความสนใจอย่างมากในการเกิดโรคอันเป็นสาเหตุหรือผลของโรค Crohn เขากล่าว “แต่ความชุกของการขาดโปรตีนป้องกันในระดับเนื้อเยื่อหรือแม้กระทั่งการกลายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับการตายของเซลล์ที่บกพร่องยังไม่ได้รับการอธิบายอย่างครบถ้วนในโรค Crohn” Rubiin กล่าว

เขาเสริมว่า gamma delta T cells มีบทบาทสำคัญในระบบภูมิคุ้มกันของเรา แต่มีบทบาทในเลือดไม่เหมือนกันในเนื้อเยื่อลำไส้ “การเชื่อมต่อระหว่างพื้นที่เหล่านั้นกับการสังเกตของเซลล์เหล่านี้จำเป็นต้องมีการทำงานเพิ่มเติมอย่างแน่นอน” เขากล่าว “ดังนั้นฉันจึงขอแสดงความยินดีกับผู้เขียนในงานนี้อย่างแน่นอน – ตอนนี้เรามาดูโรค Crohn หลายประเภทเพื่อดูว่าเราสามารถระบุสิ่งนี้เพิ่มเติมในมนุษย์ได้หรือไม่”

สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การรักษาใหม่ได้หรือไม่ Cadwell บอกกับ Healthline ว่าเมื่อ norovirus แพร่เชื้อไปยังคนที่มีความสามารถในการผลิต API5 ที่อ่อนแอลง ก็จะทำให้เกิดความสมดุลต่อโรคภูมิต้านตนเอง เป็นไปได้ว่าโปรตีน API5 หรือสิ่งที่คล้ายกันอาจนำไปสู่การรักษาแบบใหม่สำหรับ Crohn ที่จะไม่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันเช่นเดียวกับการรักษาในปัจจุบันจำนวนมาก Cadwell เตือนว่าในขณะที่ผู้เขียนศึกษาได้รับโปรตีน API5 จากเนื้อเยื่อของมนุษย์มากกว่าสัตว์ฟันแทะ

แต่ก็ยังไม่ทราบว่าการฉีดยาสามารถทำได้อย่างปลอดภัยในมนุษย์หรือไม่ “มีหลายงานที่ต้องทำก่อนที่เราจะทดสอบสิ่งนี้ในมนุษย์” คาลด์เวลล์กล่าว “เราอยู่ห่างออกไปสองสามปีก่อนที่สิ่งนี้จะสามารถก้าวไปข้างหน้าในการทดลองทางคลินิกได้อย่างเต็มที่” เขากล่าวเสริม

การรักษาในปัจจุบันมีจำกัด Cadwell ยอมรับว่าแม้ว่าโรค Chron จะรักษาไม่หาย แต่ก็มียาบางตัวที่ได้ผลดีสำหรับบางคน “ตัวอย่างหนึ่งคือ Remicade ซึ่งใช้ในการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ด้วย” เขากล่าว “แต่การรักษาเหล่านี้ไม่ได้ผลเสมอไป หรือพวกเขาหยุดทำงาน และปัญหาอื่นคือการรักษาเหล่านี้ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง” เขากล่าวเสริม

มีการรักษาอื่นๆ ตั้งแต่ยาต้านอาการท้องร่วงและยาแก้อักเสบ ยาปฏิชีวนะ การบำบัดทางชีวภาพ อาหารและอาหารเสริม ดร. ยู มัตสึซาวะ แพทย์ระบบทางเดินอาหารและหัวหน้าทีมวิจัยกล่าวในการแถลงข่าวว่าเขาแบ่งปันความกระตือรือร้นของแคดเวลล์เกี่ยวกับการค้นพบนี้ “การค้นพบของเรานำเสนอข้อมูลเชิงลึกใหม่เกี่ยวกับบทบาทสำคัญที่ตัวยับยั้งการตายของเซลล์ apoptosis 5 เล่นในโรค Crohn” เขากล่าว “โมเลกุลนี้อาจให้เป้าหมายใหม่ในการรักษาโรคแพ้ภูมิตัวเองเรื้อรัง ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่ายากต่อการจัดการในระยะยาว”

 

สนับสนุนโดย.  เครื่องช่วยฟัง

หูฟังใช้อย่างไรไม่ทำให้หูหนวก

อาจพูดได้ว่าปัจจุบันหูฟังเป็นอุปกรณ์ที่ผู้คนนิยมใช้งานกันมากอย่างหนึ่ง เพราะไม่ว่าเราจะฟังข่าว เล่นเกม หรือฟังเพลง เราสามารถใช้หูฟังเพื่อให้เสียงที่เราได้ยินไม่ไปรบกวนผู้อื่น แต่คุณรู้หรือไม่ว่าการใช้หูฟังนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะหากเราใช้หูฟังอย่างไม่ถูกต้อง จะมีผลเสียระบบการได้ยินของหูของเราด้วย เช่นทำให้หูหนวกได้  

         ปัจจุบันหูฟังมีการจำผลิตและจำหน่ายอยู่ 3 แบบ เราเรามาดูกันว่าแต่ละแบบมีข้อดีและข้อเสียอย่างไรบาง และเราควรเลือกใช้หูฟังแบบไหน ที่จะทำให้หูของเราไม่ต้องเสี่ยงเป็นโรคหูหนวก

1.หูฟังแบบที่ครอบหู  ซึ่งหูฟังชนิดนี้จะนิยมใช้งานกันมากในกลุ่มวัยรุ่น โดยหูฟังแบบนี้จะสามารถป้องกันเสียงของบรรยากาศจากภายนอกไม่ให้เข้าไปในหูได้  ดังนั้นผู้ใช้งานจึงไม่จำเป็นต้องปรับระดับความดังของเสียงมากเกิดไป จึงไม่เกิดอันตรายต่อหู แต่ข้อเสียคือหูฟังชนิดนี้จะมีลักษณะที่ใหญ่ บางคนจะรู้สึกไม่สะดวกที่จะต้องพกพาออกไปใช้งานนอกบ้าน

2.หูฟังแบบเอียร์บัด  สำหรับหูฟังชนิดนี้ จะไม่ค่อยช่วยป้องกันเสียงรบกวนจากบรรยากาศรอบนอกได้ดีนัก การใช้งานเพียงใส่ไว้ที่รอบนอกรูหู ดังนั้นคนที่ใช้งานส่วนใหญ่จะใช้งานเมื่อยามออกนอกบ้านเท่านั้น แต่ข้อเสียของหูฟังชนิดนี้คือ เมื่อไม่สามารถกั้นเสียงจากภายนอกไม่ให้เข้าไปในหูได้ ดังนั้นผู้ใช้งานส่วนใหญ่จะมีการปรับระดับเสียงที่หูฟังให้มีความดังมากขึ้น ซึ่งจะมีผลเสียต่อหู อาจะทำให้เกิดปัญหาแก้วหูอักเสบหรือเป็นโรคหูหนวกได้

3.หูฟังชนิดเสียบหู สำหรับหูฟังชนิดนี้ จะมีขนาดเล็กสามารถพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก อีกทั้งยังสามารถป้องกันเสียงบรรยากาศจากภายนอกไม่ให้เข้าไปรบกวนในหูได้ ดังนั้นผู้ใช้งานจึงไม่จำเป็นต้องปรับเสียงให้ดังมากนัก ไม่เป็นอันตรายต่อหู แต่ข้อเสียของหูฟังชนิดนี้คือ เมื่อเราไม่ได้ยินเสียงภายนอก อาจทำให้เราเกิดอุบัติเหตุได้หากนำมาใช้งานนอกบ้าน

             ที่บอกว่าหูฟังจะมีผลกระทบต่อการทำให้หูหนวกนั้น เพราะโดยปกติแล้วคนเราไม่ควรฟังเสียงที่ดังเกิน 90 เดซิเบลและการใช้งานหูฟังก็ไม่ควรใช้งานนานต่อเนื่องเกิน 1 ชั่วโมงที่สำคัญเราควรปรับความดังของหูฟังไม่ควรเกิน 60 % ของความดังสูงสุดของอุปกรณ์ ซึ่งหากหูของเราได้ยินเสียงที่ดังมากๆ นานๆ อาจทำให้เกิดปัญหาหูอักเสบหรือหูหนวกได้ 

         อาจพูดได้ว่าปัจจุบันหูฟังเป็นอุปกรณ์ที่ผู้คนนิยมใช้งานกันมากอย่างหนึ่ง เพราะไม่ว่าเราจะฟังข่าว เล่นเกม หรือฟังเพลง เราสามารถใช้หูฟังเพื่อให้เสียงที่เราได้ยินไม่ไปรบกวนผู้อื่น แต่คุณรู้หรือไม่ว่าการใช้หูฟังนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะหากเราใช้หูฟังอย่างไม่ถูกต้อง จะมีผลเสียระบบการได้ยินของหูของเราด้วย เช่นทำให้หูหนวกได้  

         ปัจจุบันหูฟังมีการจำผลิตและจำหน่ายอยู่ 3 แบบ เราเรามาดูกันว่าแต่ละแบบมีข้อดีและข้อเสียอย่างไรบาง และเราควรเลือกใช้หูฟังแบบไหน ที่จะทำให้หูของเราไม่ต้องเสี่ยงเป็นโรคหูหนวก

1.หูฟังแบบที่ครอบหู  ซึ่งหูฟังชนิดนี้จะนิยมใช้งานกันมากในกลุ่มวัยรุ่น โดยหูฟังแบบนี้จะสามารถป้องกันเสียงของบรรยากาศจากภายนอกไม่ให้เข้าไปในหูได้  ดังนั้นผู้ใช้งานจึงไม่จำเป็นต้องปรับระดับความดังของเสียงมากเกิดไป จึงไม่เกิดอันตรายต่อหู แต่ข้อเสียคือหูฟังชนิดนี้จะมีลักษณะที่ใหญ่ บางคนจะรู้สึกไม่สะดวกที่จะต้องพกพาออกไปใช้งานนอกบ้าน

2.หูฟังแบบเอียร์บัด  สำหรับหูฟังชนิดนี้ จะไม่ค่อยช่วยป้องกันเสียงรบกวนจากบรรยากาศรอบนอกได้ดีนัก การใช้งานเพียงใส่ไว้ที่รอบนอกรูหู ดังนั้นคนที่ใช้งานส่วนใหญ่จะใช้งานเมื่อยามออกนอกบ้านเท่านั้น แต่ข้อเสียของหูฟังชนิดนี้คือ เมื่อไม่สามารถกั้นเสียงจากภายนอกไม่ให้เข้าไปในหูได้ ดังนั้นผู้ใช้งานส่วนใหญ่จะมีการปรับระดับเสียงที่หูฟังให้มีความดังมากขึ้น ซึ่งจะมีผลเสียต่อหู อาจะทำให้เกิดปัญหาแก้วหูอักเสบหรือเป็นโรคหูหนวกได้

3.หูฟังชนิดเสียบหู สำหรับหูฟังชนิดนี้ จะมีขนาดเล็กสามารถพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก อีกทั้งยังสามารถป้องกันเสียงบรรยากาศจากภายนอกไม่ให้เข้าไปรบกวนในหูได้ ดังนั้นผู้ใช้งานจึงไม่จำเป็นต้องปรับเสียงให้ดังมากนัก ไม่เป็นอันตรายต่อหู แต่ข้อเสียของหูฟังชนิดนี้คือ เมื่อเราไม่ได้ยินเสียงภายนอก อาจทำให้เราเกิดอุบัติเหตุได้หากนำมาใช้งานนอกบ้าน

             ที่บอกว่าหูฟังจะมีผลกระทบต่อการทำให้หูหนวกนั้น เพราะโดยปกติแล้วคนเราไม่ควรฟังเสียงที่ดังเกิน 90 เดซิเบลและการใช้งานหูฟังก็ไม่ควรใช้งานนานต่อเนื่องเกิน 1 ชั่วโมงที่สำคัญเราควรปรับความดังของหูฟังไม่ควรเกิน 60 % ของความดังสูงสุดของอุปกรณ์ ซึ่งหากหูของเราได้ยินเสียงที่ดังมากๆ นานๆ อาจทำให้เกิดปัญหาหูอักเสบหรือหูหนวกได้

 

ขอขอบคุณ เครื่องช่วยฟัง ที่ให้การสนับสนุน

การใช้หูฟังแบบผิดๆเสี่ยงหูหนวกได้

อย่างที่ทราบกันดีว่าหูฟังนั้นเป็นการขยายเสียงในรูปแบบหนึ่งซึ่งการบฏิบัติการของมันก็คล้ายๆกับการทำงานในรูปแบบของลำโพงแต่เป็นการทำงานโดยผ่านกึ่งกลางด้วยการผ่านสายมาส่งตรงต่อหูของเรา 

ต้องยอมรับว่าสมัยนี้คนส่วนใหญ่นิยมใช้หูฟังกันมากและเป็นสิ่งที่ทุกคต้องการมากๆพอกับสิ่งของจำเป็นชนิดอื่นๆเพื่อเป็นการใช้คู่กับมือถือในยุคสมัยนี้ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใดๆก็ตาม คนส่วนใหญ่มักจะใช้มือถือพร้อมกับหูฟังคู่ใจไปในทุกๆที่ ขนาดการออกกำลังกายตามสาธารณะยังใช้มือถือกับหูฟังกันสะเสียส่วนมากเลย นี่แค่ยกตัวอย่างนะยังไม่รวมไปถึงการใช้งานดูหนังฟังเพลงหรือกรใช้แอพอื่นๆที่ต้องอาศัยมือถือกับหูฟังด้วยเลยแหละ

การที่เรานำตนเองเข้าไปอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนมากมาย ดังนั้นการใช้หูฟังไม่ว่าจะเป็นการทำกิจกรรมอย่างไหนก็ตามถือว่าเป็นมารยาทอย่างหนึ่ง ซึ่งการใช้หูฟังนั้นทำให้เสียงของมันไม่ก่อเกิดเสียงที่รบกวนบุคคลอื่นๆหรือรบกวนคนรอบข้าง ซึ่งเราควรมีหูฟังเพื่อเป็นมารยาทในการเข้าสังคมเหล่านั้น ไม่ใช่เปิดโดยไม่สนใจบุคคลอื่น นั้นคือคนที่แย่กับการเข้าสังคม

ความรู้เกี่ยวกับการใช้หูฟัง

เดิมทีหูฟังเรามีการนำมาใช้งานนานมากแล้ว แต่ไม่ค่อยนิยมกันเท่าไหร่นักเพราะส่วนใหญ่ในสมัยโบราณนั้นคนที่ใช้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกทหาร เพื่อใช้ติต่อสื่อสารกัน ต่อมาก็ได้มีการพัฒนารูปแบบที่ทันสมัยขึ้นมาเรื่อยๆจนถึงการใช้งานที่เราเห็นในปัจจุบัน 

ส่วนมากที่นิยมใช้หูฟังมีใครบ้าง

ในกลุ่มผู้ที่มีการนำหูฟังไปใช้งานมากที่สุดนั้นก็คือกลุ่มของวัยรุ่น เพราะเป็นกลุ่มเดียวกับการใช้มือถือมากที่สสุด อย่างที่บอกว่ามือถือส่วนใหญ่ก็มีความนิยมมากและหูฟังในสมัยนี้ก็ต้องใช้งานกับมือถือเช่นกัน กลุ่มต่อไปที่มีการใช้งานมากก็น่าจะเป็นวัยกลางคนที่มีการติดต่อไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงานหรือแม้แต่การใช้ในเวลาขับรถซึ่งการใช้หูฟังที่มากจนเกินไปก็ไม่ได้ส่งผลให้ดีเท่าไหร่นัก เพราะเราควรใช้ในบริมาณที่พอดีจึงจะไม่ส่งผลกระทบต่อหูของเราหากใช้งานมากจนเกินไปที่ใช้ความดังมากๆหรือเกิดกำหนดที่ตั้งไว้

เราอาจจะมีผลข้างเคียงที่จะก่อให้เกิดการได้ยินที่ผิดปกติไปจากเดิมก็ได้ ซึ่งนั้นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องพึ่ง เครื่องช่วยฟัง ในอนาคตก็ได้ ดังนั้นกันไว้ดีกว่าแก้ใช้ในปริมาณเสียงที่พดีและไม่ควรใช้นานเกินไปควรให้หูของเราได้พักบ้าง